วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Hnoom Book Worm - 13 Things Mentally Strong People Don't Do

Hello ... It's Hnoom Book Worm







Generally, Mentally Strong People is accepted and respected like The Hero or Model of everyone.  Nobody wants to be the weakness person, because everyone wants to be accepted from the their families and socials.  We all want to have values in someone’s life but not everyone that born to be the star, so we have get in practice and prepare to step up the point of expectation. 

Sometimes, we would like to know that anything else that made up the Mentally Strong People.  This book "13 Things Mentally Strong People Don't Do," written by Amy Morin, Psychologist who will take you The Key on how they are the strong ones.  Certainly, It's about controlling your thoughts, behaviors, and emotions…Don’t Do …

The Following are 13 things or Behaviors that mentally strong people do not do, by Morin.

1. They don't waste time feeling sorry for themselves
Because if you feel sorry for yourself intensely, it means that you are creating the negative emotions, more hurts and broken relationships soon. 
You have to set up that you are happy and appreciate what you have.

2. They don't give away their power
Whenever you feel losing energy and emotion, so your power is destroying then.  This time, other people will control you by some ways and your mind will be more weakness from time to time.
Oprah Winfrey that Morin raise up to mind empower the book reader because Winfrey was dealing with many bad situations but she set her mind that she will not giving away her power.  Finally she is very famous in this world.

3. They don't shy away from change
Morin said that Change has five stages, pre-contemplation, contemplation, preparation, action, and maintenance. We have to making changes without shying away from them prevents growth. Morin also said that "The longer you wait, the harder it gets," she says.

4. They don't focus on things they can't control
It is so true that Morin saying, "Rather than focusing on managing your anxiety, you try controlling your environment," You may take off your focus on things you can't control then your happiness will be increased, and many things in your life will be beautiful.

5. They don't worry about pleasing everyone
Morin lists four facts of pleasing people, waste time, get easily to be manipulated, it’s OK for others to be angry or disappointed, and the truly fact one is we can’t please everyone.
If you drop out of pleasing people format from your mind, you will be quality stronger one.

6. They don't fear taking calculated risks
Let’s see the Questioning lists from Morin on how to explore the risk. Because almost people are often afraid to take risks and Morin writes that A lack of knowledge about how to calculate risk leads to increased fear.
Ask yourself the following questions.
—What are the potential costs?
—What are the potential benefits?
—How will this help me achieve my goal?
—What are the alternatives?
—How good would it be if the best-case scenario came true?
—What is the worst thing that could happen, and how could I reduce the risk it will occur?
—How bad would it be if the worst-case scenario did come true?
—How much will this decision matter in five years?

7. They don't dwell on the past
No ones can change The past.  You have to prevent yourself from sinking to the past, but you should enjoy every single moments in the present and planning for the future as well.  Morin saying that actually, thinking about the past is still have the benefit for life, because we can take them as the lessens learned, explore the past experiences in new perspective.

8. They don't make the same mistakes over and over
We can learn from the mistakes, but lots of mistakes that is hard for keep more learning. Even the mentally strong people accept responsibility for the mistakes but they also create a thoughtful, written plan to protect the situations of mistakes come again and again.

9. They don't resent other people's success
I love this speech of Morin, focusing on another person's success will not pave the way to your own, since it distracts you from your path. So, becoming success person, you have not to focusing on others.  Just overlook your talents and abandon your values and relationships.

10. They don't give up after the first failure
Bear in mind that Thinking that failure is unacceptable or that it means you aren't good enough does not reflect mental strength. Morin writes "bouncing back after failure will make you stronger,"

11. They don't fear alone time
Sometimes, Alone can create a powerful experience to your thoughts and bring you reach to the goals.  Morin lists in her book about the benefits of solitude as the following.
—Solitude at the office can increase productivity.
—Alone time may increase your empathy.
—Spending time alone sparks creativity.
—Solitary skills are good for mental health.
—Solitude offers restoration.

12. They don't feel the world owes them anything
Morin says something about this item, "Life isn't meant to be fair. Sometimes, we have to deal with happiness moments but sometimes we have to deal with unhappiness as well.  Because of no one is entitled to anything. 
You have to create these things for yourself that is better.  For example, focus on your efforts and accept criticism,  If you are still comparing yourself with others, you will only set you up for disappointment.

13. They don't expect immediate results
The mentally strong people are willing to wait the outcomes of expectation in realistic situations, so don’t be impatient because it will be raised up your stress and effect to the mental health.
Just keep your mind to the right processes, looking to your past until now, and admiring yourself as supporting.





More Search Please ...  



วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561

หนุ่มหนอนหนังสือ - ทำไมคนที่ทำงานเก่งที่สุดถึงใช้สมุดกราฟ ... Graph Notebook

หนุ่มหนอนหนังสือ ... สวัสดีครับ








นับตั้งแต่มนุษย์เราเริ่มอ่านออกเขียนได้ ... อาจกล่าวได้ว่า “สมุด” นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกคัดฝึกเขียนอัน และเป็นเครื่องมือเรียนรู้ที่สำคัญของคนเราตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการวาดรูปภาพ สัญลักษณ์ต่างๆ รวมถึงการเขียนภาษาใดๆ ก็ตามในโลกนี้ เราก็เริ่มจากการฝึกหัดคัดตัวอักษรของภาษานั้นๆ จนมาถึงการเริ่มสร้างเป็นคำและเป็นประโยคเพื่อการเรียนรู้และการสื่อสารขึ้นมา

หากแบ่ประเภทจากกระดาษด้านในของสมุด อาจแบ่งได้ว่า มีสมุดแบบไม่มีเส้น (หน้าว่างๆ) และสมุดแบบมีเส้น ... ซึ่งสมุดแบบไม่มีเส้นนั้น อาจใช้สำหรับการวาดรูปภาพ สัญลักษณ์ หรือขีดเขียนสิ่งใดๆ ที่ไม่จำเป็นต้องมีเส้นบรรทัดภายในหน้ากระดาษเป็นกรอบเป็นเกณฑ์ในการเขียน กล่าวง่ายๆ ก็คือ สมุดแบบไม่มีเส้นทำให้เรามีอิสระในการขีดเขียนอย่างเต็มที่บนกระดาษว่างในแต่ละหน้าของสมุด ...

สำหรับสมุดที่มีเส้น ก็ยังมีการแบ่งตามลักษณะเฉพาะเพื่อการใช้งานด้วย เช่น สมุดที่มีเส้นแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมเท่าๆ กัน โดยจุดประสงค์หลักก็เพื่อใช้สำหรับการคัดตัวอักษร ไม่ว่าจะเป็นอักษรภาษาญี่ปุ่น หรือ อักษรภาษาจีน เป็นต้น และยังมีการแบ่งบรรทัดทีละห้าเส้น สำหรับการเขียนโน้ตดนตรี ซึ่งเราอาจคุ้นเคยกับการเรียกสมุดแบบนี้ว่า สมุดบรรทัดห้าเส้น

แต่มีสมุดแบบที่มีเส้นอีกประเภท นั่นก็คือ สมุดกราฟ ...

เราอาจนึกออกเพียงแค่การใช้สำหรับงานเขียนที่เน้นเชิงเลขาคณิตที่ต้องใช้ช่องไฟเพื่อพล็อตกราฟหรือเพื่อการวาดรูปด้วยการคำนวณและกำหนดจากจำนวนช่องอย่างถูกต้อง แต่มีการศึกษาเพิ่มเติมจากต่างประเทศที่พบว่า ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนที่สอบติดมหาวิทยาลัยโตเกียวที่ปรึกษาจากบริษัทแมคคินซีย์ หรือบริษัทบีซีจี (บอสตันคอนซัลติ้งกรุ๊ป) ... คนเก่งๆ เหล่านี้ล้วนใช้ สมุดกราฟ กันทุกคน ด้วยเหตุผลก็เพราะการใช้สมุดกราฟช่วยให้ สมองจัดระเบียบความคิดได้ดี ช่วยให้เราจดโน้ตได้เป็นระเบียบกว่าสมุดที่ไม่มีเส้น และในระหว่างที่จด ความคิดก็จะได้รับการจัดระเบียบตามไปด้วย ส่งผลให้การเรียนหรือการทำงานดำเนินไปได้อย่างราบรื่นขึ้น


เหตุผลของชาวญี่ปุ่นที่เลือกใช้สมุดกราฟ นั่นก็คือ
จดจำข้อมูลได้อย่างแม่นยำ
คิดวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุผล
แก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างง่ายดาย
นำเสนองานได้อย่างน่าสนใจ
เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว

ลองเขียนด้วยสมุดกราฟกันดูนะครับ เผื่อประโยชน์ตามข้อมูลข้างต้นอาจสามารถนำมาใช้กับในชีวิตประจำวันของเราได้ด้วย

สารบัญของหนังสือเล่มนี้ก่อนครับ ...
บทที่ 1 ถ้าอยากเปลี่ยนชีวิตให้เริ่มจากการเปลี่ยน "สมุดโน๊ต"
บทที่ 2 ความลับของ "สมุดโน้ตแมคคินซีย์" ที่ที่ปรึกษาของแมคคินซีย์ทุกคนต้องใช้
บทที่ 3 สมุดโน้ตสำหรับการเรียน
บทที่ 4 สมุดโน้ตสำหรับการทำงาน คือสมุดโน้ตเพื่อการ "คัดทิ้ง"
บทที่ 5 ทางลัดที่นำไปสู่ความสำเร็จคือ "สมุดโน้ตสำหรับการนำเสนอ"



หากต้องการค้นหารายการหนังสือเล่มอื่นๆ เพิ่มเติม ...  แวะชม 🕮 ที่นี่นะครับ 



วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

หนุ่มหนอนหนังสือ - ทำไงดี! เด็กๆ มีเรื่องกลุ้มใจ

หนุ่มหนอนหนังสือ ... สวัสดีครับ





โลกของเด็ก ไซส์เล็กกว่า โลกของผู้ใหญ่ ...
ผู้ใหญ่มักเข้าใจว่า เด็กๆ ไม่ต้องมีเรื่องกังวลหรือมีเรื่องให้คิดหลายเรื่องเหมือนกับผู้ใหญ่

เพราะพวกเขามักจะมีแต่ความสนุกสนานกับเพื่อน กินอิ่ม นอนหลับ ไปโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือ

แต่ความเป็นจริงแล้ว เด็กๆ ก็มีความกังวลใจในหลายๆ เรื่องเช่นกัน 
แม้ผู้ใหญ่จะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับพวกเขาอาจเป็นเรื่องใหญ่โตมากเลยทีเดียว ...


เพราะเด็กยังมีประสบการณ์ในการเรียนรู้โลกภายนอกได้ไม่มากพอเท่ากับผู้ใหญ่

เพียงแค่ปัญหากับเพื่อนข้างบ้าน เพื่อนๆ ที่โรงเรียน หรือแม้กระทั่งเพื่อนบนโลกออนไลน์ก็ตาม ...

เขาอาจมองว่าเป็นเรื่องที่หนักมากสำหรับพวกเขาแล้ว และนี่ยังไม่รวมไปถึง สัมพันธภาพกับครูที่โรงเรียน พ่อแม่พี่น้อง และคนรอบๆ ตัวเขา ซึ่งผู้ใหญ่อย่างเราๆ อาจไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เด็กๆ กำลังเผชิญกับความกลัวในเรื่องใด หนักมากแค่ไหน ... 

และสิ่งหนึ่งที่น่ากังวลสำหรับผู้ใหญ่ ก็คือ ...โอกาสที่เด็กจะพยายามหาทางออกให้กับตัวเอง ด้วยวิธีที่อาจไม่ถูกต้องและอาจกลายเป็นการลุกลามของปัญหาได้อีกด้วย ...





หลายครอบครัวที่กำลังเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว ...
บางครอบครัวมีปัญหาระหว่างพ่อกับแม่ ... 
บางครอบครัวมีปัญหาเกี่ยวกับสัมพันธภาพระหว่างสมาชิกในรูปแบบของครอบครัวใหญ่

บางครอบครัวมีปัญหาระหว่างพ่อหรือแม่ที่มีต่อลูก และอาจเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระหว่างลูกๆ ด้วยกัน

ทุกครอบครัวล้วนมีปัญหา ...

แต่ระดับความถี่ ความรุนแรง และวิธ๊จัดการแก้ไขปัญหานั้นย่อมมีแตกต่างกันไป

หากพ่อแม่ผู้ปกครองไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้แล้ว ... เด็กๆ ก็จะไวต่อการไม่มีความสุข
เพราะการอยู่ในบ้านท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีแต่การเอะอะโวยวายส่งเสียงดัง ด่าทอกันและไม่ให้ความเคารพความไว้วางใจซึ่งกันและกัน จะเป็นตัวแปรและตัวเร่งที่จะยิ่งสร้างความกลุ้มใจให้กับเด็ก ... ซึ่งเด็กบางรายอาจมีวิธีจัดการที่ดี โดยใช้ความสามารถในการปรับตัวท่ามกลางปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แต่ยังมีเด็กอีกหลายรายที่แก้ปัญหาด้วยการประชดชีวิต และเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

ปัญหาที่เด็กมีนั้น ... วิธีแก้ไขที่ดีควรเริ่มมาจากการเตรียมพร้อมของพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่จะเรียนรู้เพื่อหาวิธีป้องกันตลอดจนมีตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กได้ การเรียนรู้และทำความเข้าใจกับพัฒนการของเด็ก จะทำให้เราสามารถเห็นสิ่งต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลให้เด็กเกิดปัญหาตามมา และควรเลี่ยงที่จะใช้ความรุนแรงต่อเด็ก เพราะเด็กจะเกิดภาพจำ และอาจนำไปใช้ในตอนโตได้อีกด้วย

หนังสือเรื่อง ทำไงดี! เด็กๆ มีเรื่องกลุ้มใจ เล่มนี้ เขียนขึ้นโดยนักจิตวิทยาชาวญี่ปุ่นชื่อ ชู ยะมะกิ (Shu Yamaki มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเด็กๆ ได้เข้าใจวิธีการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสัมพันธภาพระหว่างตนเองกับผู้อื่น แม้กระทั่งปัญหาที่อาจเกิดขึ้นบนโลกโซเชียล ซึ่งในเล่มนี้ เด็กๆ จะได้รับคำแนะนำมากมายผ่านสถานการณ์ที่เป็นปัญหาตัวอย่างของเพื่อนๆ รวม 38 ปัญหาด้วยกัน และจะมีวิธีแก้ปัญหาตามหลักจิตวิทยาของ ดร.อัลเฟรด แอดเลอร์ นักจิตวิทยาเด็กชื่อดัง ... 


หนังสือเล่มนี้นำเสนอเป็นตัวการ์ตูนมีสีสันสวยงาม โดยสร้างสถานการณ์สมมติที่เป็นปัญหาและอธิบายแนวทางการแก้ไขปัญหาในเรื่องนั้นๆ อีกทั้งยังมีการถาม-ตอบปัญหากลุ้มใจระหว่างเด็กๆ กับ ดร.แอดเลอร์ อีกด้วย เช่น ปัญหาเกี่ยวกับไลน์ที่เพื่อนอ่านแล้วไม่ตอบ พฤติกรรมของเด็กหลังจากที่ได้เห็นเพื่อนถูกแกล้งนั้นเด็กจะช่วยเพื่อนอย่างไร เมื่อพ่อแม่ทะเลาะกันจะทำอย่างไรได้บ้าง เป็นต้น   

อาจเรียกได้ว่า หนังสือเล่มนี้สามารถสร้างโอกาสที่ดีให้พ่อแม่ลูกพัฒนาครอบครัวให้สมบูรณ์ขึ้นกว่าเดิม ทำให้พ่อแม่ลูกมีเวลาร่วมกัน พ่อแม่สามารถเสริมประสบการณ์ดีๆ ระหว่างที่ร่วมอ่านหนังสือกับเด็กได้ด้วย และที่สำคัญคือ พ่อแม่จะเข้าใจโลกที่เด็กมีความกังวลได้มากขึ้นและหาทางช่วยเหลือให้เด็กมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

ลองหาอ่านดูนะครับ เพราะปัจจุบัน ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเด็กมีมากมายเหลือเกิน
ทุกๆ ปัญหายังสามารถส่งผลถึงกันและกันอีกด้วย ไม่ว่าเด็กจะมีปัญหาจากการทะเลาะกับเพื่อนที่โรงเรียน ซึ่งก็อาจส่งผลให้เด็กเกิดภาวะอารมณ์เสียโดยเก็บมาระเบิดกับทางบ้านก็เป็นได้ และเด็กที่เห็นภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัว ก็จะเกิดภาพจำและนำไปใช้กับเพื่อนที่โรงเรียนเหมือนกัน ... 

ลองศึกษาโลกของเด็กกันนะครับ เพราะครั้งหนึ่งเราก็เคยมีความเป็นเด็กไม่ต่างจากพวกเขาเช่นกันครับ




หากต้องการค้นหารายการหนังสือเล่มอื่นๆ เพิ่มเติม ...  แวะชม 🕮 ที่นี่นะครับ 



วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2561

หนุ่มหนอนหนังสือ : About Time of Second Chance โอกาสครั้งที่สอง

หนุ่มหนอนหนังสือ ... สวัสดีครับ






ถ้าชีวิตเราได้รับโอกาสครั้งที่สอง ... เราจะทำอย่างไรกับโอกาสครั้งนี้

มนุษย์เราต่างมีข้อผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น ...
หลายคนร้องขอโอกาส ... แต่ก็มีหลายคนที่ใช้โอกาสแบบไม่ถูกต้อง


เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสครั้งที่สอง .... 
บางทีโอกาสครั้งที่สองถูกสร้างมาให้กับคนที่แสดงออกถึงความตั้งใจกับการกระทำครั้งแรกที่เกิดความผิดพลาดขึ้น


มีหลายคนที่ได้รับโอกาส ... แต่พวกเขาใช้โอกาสไปในแบบที่สิ้นเปลือง
ขอโอกาสเพียงสองครั้ง คือ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ...
ขอโอกาสไปเรื่อยๆ เพียงเพื่อต้องการแก้ไขข้อผิดพลาดให้เกิดสิ่งที่เป็นความสมบูรณ์ที่สุด
แต่บางที พวกเขาลืมนึกไปว่า การใช้เวลาไปกับการแก้ไขบนโอกาสที่พวกเขาได้รับนั้น 

มันกำลังหมายความถึง การสูญเสียเวลาในชีวิตที่จะเริ่มต้นสร้างสิ่งใหม่ๆ แล้วเก็บความผิดพลาดที่แก้ไขไม่ได้ให้เป็นบทเรียนแห่งความทรงจำ



ผมได้ดูหนังเรื่อง About Time ซึ่งเป็นการเสนอเนื้อหาในเรื่องของ ความสมบูรณ์แบบ กับ การขอโอกาสเพื่อแก้ไขอดีต
หนังเรื่องนี้สื่อสารให้ผู้ชมได้เห็นคนที่ใช้โอกาสในหลายๆ ครั้ง ด้วยการย้อนกลับไปแก้ไขอดีตเพียงเพื่อต้องการให้สิ่งที่เขาคาดหวังนั้นมีความสมบูรณ์แบบที่สุด ... แต่กว่าจะได้อะไรมา บางทีเราก็ต้องมานึกถึงว่าเราเสียอะไรไป ...

ลองดูกันนะครับ หนังเรื่อง About Time เป็นเรื่องที่น่าสนใจและได้ข้อคิดกับชีวิตมากๆ เลย

เผื่อบางที เราอาจเห็นคุณค่าของโอกาสที่เข้ามาในชีวิตมากกว่าที่เคยก็ได้ครับ ...



หากต้องการค้นหารายการหนังสือเล่มอื่นๆ เพิ่มเติม ...  แวะชม 🕮 ที่นี่นะครับ 



วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2561

หนุ่มหนอนหนังสือ - อิคิไก (ikigai) ความหมายของการมีชีวิตอยู่

หนุ่มหนอนหนังสือ ... สวัสดีครับ






หากคุณกำลังมีคำถามเชิงปรัชญา ว่า ...
- - -  เรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร  - - -

ลองหา หรือ ลองนึกถึง กระดาษเปล่า สัก 1 แผ่น 

แล้วเขียนคำว่า ... "อิคิไก" / "ikigai" กันดูครับ


แต่มาดูความหมายของคำนี้กันก่อนดีกว่าครับ
"อิคิไก" เป็นคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่น ประกอบขึ้นจากคำสองคำ คือ ...
--- อิคิ ---  คือ  "มีชีวิตอยู่"

--- ไก ---  คือ  "คุณค่า หรือ ความหมาย"

ดังนั้น คำว่า ... 
"อิคิไก" จึงหมายถึง "ความหมายของการมีชีวิตอยู่" 



แล้วเคยได้ยินคนที่พูดทำนองนี้กันบ้างไหมครับ ...
"ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว"

"ใช่สิ เรามันหมดคุณค่าแล้วนี่"
"เราคงไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว"

กลุ่มประโยคข้างต้น ...
บางคนอาจมองว่า เป็นประโยคประชดประชัน หรือ ประโยคเรียกร้องความสนใจ ...
แต่ความจริงแล้ว ผู้พูดอาจกำลังรู้สึกท้อแท้ หมดหวัง เสียใจ และ รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าจริงๆ ก็ได้นะครับ







หากลองทำความเข้าใจ "ความต้องการ" ของแต่ละช่วงชีวิตคนเรา
เราจะพบว่า ทุกคนต่างก็มีความต้องการในทุกช่วงชีวิต ..
แต่บางคนก็ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้ว ตัวเองต้องการอะไรกันแน่ ! ...

เรื่องราวบางช่วงบางตอนของชีวิต ...
ก็ยากที่จะ "หาเหตุผล" หรือ "หาคำตอบ"
แต่เราก็สามารถสร้าง "ความเข้าใจ" ตกผลึกให้เป็น "ความหมายที่มีคุณค่า" ให้กับตัวเองนะครับ




"ความชัดเจน" ... 
บางที มันอาจไม่ได้ปรากฎออกมาให้เห็นภายในครั้งแรกจากความคิดที่คลุมเครือ
เราอาจต้องใช้เวลาสักหน่อย เพื่อ shape มันขึ้นมา 
จนมั่นใจว่า นี่คือความหมายที่เรากำลังค้นหาอยู่ 

ถึงตอนนี้ ... 
"กระดาษเปล่า" แผ่นที่ผมให้ลองเขียนคำว่า "อิคิไก"... ความหมายของการมีชีวิตอยู่
ยังอยู่หรือเปล่า 😄


ผมว่า บนกระดาษยังคงมีพื้นที่มากพอที่จะเขียน ...
คำที่มี / คำที่เป็น ...
# ความหมายดีๆ
# ความหมายที่ดูมีคุณค่า
# ความคิดเชิงบวก
# กำลังใจ
# เป้าหมายเพื่อตนเอง
# เป้าหมายเพื่อใครสักคน ...
รวมถึง คำอื่นๆ อีกมากมาย ที่สามารถสร้างพลังสำหรับการดำเนินชีวิต



เพียงแค่เรา #ไม่นำคำที่ตัดพลังใจมาเขียนลงบนกระดาษแผ่นนี้ ...
แล้วหาโอกาสสร้างคำที่ให้ความหมายดีๆ กับชีวิต 
เพื่อให้ชีวิตของเรากลับมีพลังขึ้นมาอีกครั้ง ...
เพียงแค่นี้ ชีวิตเราก็มีความหมายขึ้นมาแล้วครับ

[ A ____________________________________ ]
ผมสร้างช่องที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร A ข้างบนนี้
เผื่อวันหนึ่งผมได้กลับมาเขียนคำหรือประโยคที่มีความหมายดีๆ ให้กับตัวเองอีกครั้ง

ผู้อ่านก็เช่นกันนะครับ ...
ทุกคนต่างมีพื้นที่ว่างๆ ที่สามารถให้โอกาสตัวเองได้เขียนเช่นเดียวกัน ...
อย่างไรก็ตาม ... ผมก็ยังมีพื้นที่ว่างในช่องความคิดเห็น ซึ่งมีมากพอที่ผมจะชื่นชมในคำหรือข้อความที่มีความหมายดีๆ นะครับ

มาเริ่มสร้าง "ความหมายดีๆ" ให้กับชีวิตของเราและคนที่คุณรักกันนะครับ ...



ป.ล. ลืมบอกเลย ...
ครั้งแรกที่ผมเห็นแค่คำว่า อิคิไก บนหนังสือ The Little Book of Ikigai นั้น ...
ผมยังไม่รู้สึกถึงความน่าค้นหาของหนังสือ จนกระทั่งผมเริ่มเข้าใจความหมายของ อิคิไก ...
หนังสือเล่มนี้ก็ช่วยแนะนำและสนับสนุนให้เราเปิดโอกาสให้ตัวเองค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ได้อย่างดีเลยครับ

อย่าเพิ่งท้อกับทางเดินชีวิตที่ตอนนี้กำลังเผชิญ
ลองให้ความหมายดีๆ กับตัวเอง ...
เมื่อพบว่าตนเองก็มีคุณค่าแล้วจงรักษาไว้ครับ







หากต้องการค้นหารายการหนังสือเล่มอื่นๆ เพิ่มเติม ...  แวะชม 🕮 ที่นี่นะครับ